ตัวกรองฝุ่น (Air Filter) เป็นอุปกรณ์ที่มีบทบาทสำคัญไม่ต่างจากหัวใจของระบบ เพราะลมอัดที่สะอาดหรือปนเปื้อน ขึ้นอยู่กับประสิทธิภาพของตัวกรองฝุ่นโดยตรง หากขาดการกรองที่ดี อาจนำไปสู่การสึกหรอของเครื่องจักร ผลิตภัณฑ์เสียหาย หรือแม้แต่ต้นทุนพลังงานที่สูงขึ้นโดยไม่จำเป็น
ในอุตสาหกรรมมีตัวกรองฝุ่นหลายรูปแบบ ขึ้นอยู่กับความละเอียดที่ต้องการและลักษณะการใช้งานของแต่ละระบบลมอัด โดยสามารถแบ่งประเภทได้ดังนี้
- ตัวกรองแบบตาข่ายโลหะ (Metal Mesh Filter)
- ตัวกรองแบบเส้นใยสังเคราะห์ (Synthetic Fiber Filter)
- ตัวกรองแบบจีบ (Pleated Filter)
- ตัวกรองประสิทธิภาพสูง (High Efficiency Filter)
ตัวกรองฝุ่นไม่ได้มีหน้าที่เพียงแค่กรองสิ่งสกปรกเท่านั้น แต่เป็นส่วนสำคัญที่ทำให้ระบบลมอัดทั้งระบบทำงานได้อย่างมั่นคง เสถียร และประหยัดพลังงานในระยะยาว เป็นเหมือนเกราะป้องกันชั้นแรกที่ช่วยยืดอายุของทั้งคอมเพรสเซอร์และเครื่องจักรภายในโรงงานที่ต้องการความสะอาดสูง เช่น อุตสาหกรรมยา อาหาร หรืออิเล็กทรอนิกส์ ที่ไม่สามารถยอมให้มีฝุ่นหรือไอน้ำมันหลงเหลือในระบบได้เลย มักใช้ร่วมกับระบบกรองหลายชั้นเพื่อความมั่นใจและประสิทธิภาพสูงสุด

หน้าที่หลักของตัวกรองฝุ่น (Air Filter) เพื่อการรักษาความสะอาดในโรงงาน
ตัวกรองฝุ่นถือเป็นจุดเริ่มต้นของระบบกรองอากาศในลมอัดที่มีความสำคัญอย่างยิ่ง เนื่องจากเป็นด่านแรกที่ทำหน้าที่ดักจับสิ่งสกปรกและอนุภาคต่าง ๆ ที่มากับอากาศจากคอมเพรสเซอร์ อากาศที่ถูกอัดมักมีฝุ่น เศษโลหะ เศษผ้า เศษสนิม หรือแม้แต่ละอองน้ำมันปะปนอยู่ หากปล่อยให้อากาศเหล่านี้ไหลเข้าสู่ระบบโดยไม่มีการกรอง อาจก่อให้เกิดการอุดตัน การสึกหรอ หรือทำให้ระบบลมอัดทำงานได้ไม่เต็มประสิทธิภาพ
หน้าที่ของตัวกรองฝุ่น (Air Filter)สามารถแบ่งออกได้เป็น 3 ด้านหลัก ดังนี้
1. ป้องกันไม่ให้สิ่งสกปรกเข้าสู่คอมเพรสเซอร์
คอมเพรสเซอร์เป็นอุปกรณ์หลักที่ทำหน้าที่อัดอากาศให้มีแรงดันสูง การมีฝุ่นหรืออนุภาคแข็งขนาดเล็กปะปนอยู่ในอากาศอัด อาจทำให้ใบพัด วาล์ว หรือซีลภายในเกิดการสึกกร่อนเร็วกว่าปกติ ส่งผลให้แรงดันตก ประสิทธิภาพลดลง และสิ้นเปลืองพลังงานมากขึ้น เมื่อใช้งานต่อเนื่องเป็นเวลานาน เครื่องอาจต้องหยุดเพื่อซ่อมบำรุงบ่อยครั้ง ซึ่งย่อมกระทบต่อกระบวนการผลิตโดยตรง
2. ลดการสึกหรอของชิ้นส่วนในเครื่องจักรและอุปกรณ์ปลายทาง
ระบบลมอัดในโรงงานไม่ได้ทำงานเฉพาะในคอมเพรสเซอร์เท่านั้น แต่ยังถูกส่งต่อไปยังเครื่องจักรและอุปกรณ์ต่าง ๆ เช่น แขนกลนิวแมติก (Pneumatic Arm) เครื่องพ่นสี หรือระบบควบคุมแรงดันในสายการผลิต ซึ่งล้วนต้องการลมอัดที่สะอาด หากอากาศมีฝุ่นหรือเศษวัสดุปะปน อาจทำให้วาล์ว ซีล หรือชิ้นส่วนเคลื่อนไหวภายในเครื่องเกิดการรั่วซึมหรือขัดข้อง แรงดันในระบบอาจไม่คงที่ และส่งผลให้เครื่องจักรทำงานได้ไม่เต็มประสิทธิภาพ รวมถึงต้องซ่อมแซมหรือเปลี่ยนชิ้นส่วนก่อนถึงรอบอายุการใช้งาน
3. สนับสนุนการทำงานของระบบกรองระดับถัดไปให้มีประสิทธิภาพสูงสุด
โดยทั่วไป ระบบกรองลมอัดจะประกอบด้วยตัวกรองหลายชั้น เช่น ตัวกรองฝุ่นหยาบ ตัวกรองละอองน้ำ และตัวกรองละเอียด หากตัวกรองฝุ่นในขั้นแรกทำงานได้ดี ขั้นตอนการกรองถัดไปจะมีภาระน้อยลง ช่วยให้ตัวกรองละเอียดสามารถทำงานได้อย่างเต็มประสิทธิภาพ และยืดอายุการใช้งานของสื่อกรองแต่ละชั้นออกไปได้อีกหลายเดือน
นอกจากนี้ ตัวกรองฝุ่นยังมีผลโดยตรงต่อคุณภาพของลมอัดที่ถูกส่งต่อไปใช้ในกระบวนการผลิต โดยเฉพาะในอุตสาหกรรมที่ต้องการลมบริสุทธิ์สูง เช่น อุตสาหกรรมอาหาร เครื่องดื่ม ยา หรืออิเล็กทรอนิกส์ หากลมอัดมีฝุ่นหรือไอน้ำมันปะปนแม้เพียงเล็กน้อย ก็อาจทำให้เกิดการปนเปื้อนในผลิตภัณฑ์หรือทำให้ชิ้นงานเสียหายได้
แนวทางเลือกตัวกรองฝุ่น (Air Filter)ที่เหมาะสมสำหรับการใช้งาน
การเลือกตัวกรองฝุ่นสำหรับระบบลมอัดในโรงงานอุตสาหกรรมไม่ใช่เรื่องที่ควรตัดสินใจจากราคาเพียงอย่างเดียว แต่ควรพิจารณาอย่างรอบคอบในหลายด้าน เพื่อให้ได้อุปกรณ์ที่ตอบโจทย์การใช้งานจริง ทั้งในแง่ของประสิทธิภาพ การประหยัดพลังงาน และความคุ้มค่าระยะยาว เนื่องจากตัวกรองฝุ่นที่เหมาะสมจะช่วยลดภาระการทำงานของคอมเพรสเซอร์ ลดการสึกหรอของอุปกรณ์ และยืดอายุการใช้งานของระบบลมอัดโดยรวม
ปัจจัยสำคัญที่ควรพิจารณาในการเลือก ตัวกรองฝุ่น (Air Filter) มีดังนี้
1. ระดับความสะอาดของลมที่ต้องการ (ISO 8573-1 Class)
มาตรฐาน ISO 8573-1 เป็นมาตรฐานสากลที่ใช้กำหนดระดับความสะอาดของลมอัดในอุตสาหกรรม โดยจำแนกตามปริมาณฝุ่นละออง ไอน้ำ และน้ำมันที่ปะปนอยู่ในอากาศ ตัวกรองฝุ่นแต่ละประเภทจึงถูกออกแบบให้รองรับระดับความสะอาดต่างกัน เช่น
- Class 1 – 2: ต้องการลมบริสุทธิ์สูง เหมาะกับอุตสาหกรรมยา อาหาร และอิเล็กทรอนิกส์ ซึ่งต้องการความสะอาดแทบปราศจากอนุภาค
- Class 3 – 5: เหมาะกับงานทั่วไป เช่น งานประกอบเครื่องจักร หรือระบบนิวแมติกในโรงงานผลิตชิ้นส่วน
- Class 6 – 8: ใช้กับงานที่ไม่ต้องการลมบริสุทธิ์มาก เช่น งานเป่าทำความสะอาดหรือระบบลมทั่วไป
การเลือกตัวกรองฝุ่นให้ตรงกับมาตรฐาน ISO ที่กำหนดไว้ในกระบวนการผลิต จึงเป็นจุดเริ่มต้นสำคัญของการสร้างระบบลมอัดที่มีคุณภาพ
2. อัตราการไหลของอากาศ (Flow Rate)
ขนาดของตัวกรองฝุ่นต้องสัมพันธ์กับอัตราการไหลของลมอัด เพื่อให้ระบบสามารถรักษาแรงดันลมที่เหมาะสมได้อย่างต่อเนื่อง หากตัวกรองมีขนาดเล็กเกินไป ลมจะผ่านได้ช้าและเกิดแรงดันตก (Pressure Drop) ส่งผลให้คอมเพรสเซอร์ต้องทำงานหนักขึ้นและสิ้นเปลืองพลังงาน ในทางกลับกัน หากเลือกตัวกรองที่มีขนาดใหญ่เกินความจำเป็น อาจทำให้ระบบมีต้นทุนสูงเกินไปโดยไม่จำเป็น
วิธีการที่ถูกต้องคือคำนวณอัตราการไหลของอากาศ (หน่วยลิตรต่อนาที หรือ CFM) ให้เหมาะกับปริมาณการใช้งานจริงในสายการผลิต พร้อมเผื่อค่าความปลอดภัยไว้ประมาณ 10 – 20% เพื่อป้องกันแรงดันตกในช่วงที่ระบบต้องใช้งานเต็มกำลัง
3. วัสดุกรองที่ทนต่อสภาพแวดล้อม
สภาพแวดล้อมของแต่ละโรงงานมีผลต่ออายุการใช้งานของตัวกรองฝุ่นอย่างมาก หากเป็นพื้นที่ที่มีความชื้นสูง ควรเลือกวัสดุกรองที่ไม่ดูดซับน้ำหรือไม่เกิดการบวม เช่น เส้นใยสังเคราะห์ หรือสเตนเลสสตีล ในกรณีที่มีละอองน้ำมันปะปนในลมอัด ควรเลือกตัวกรองที่ออกแบบมาสำหรับ “Oil Mist” โดยเฉพาะ เพราะวัสดุบางชนิด เช่น กระดาษกรองทั่วไป อาจเสื่อมสภาพหรืออุดตันได้รวดเร็วเมื่อสัมผัสน้ำมัน
นอกจากนี้ยังควรตรวจสอบอุณหภูมิสูงสุดที่วัสดุกรองสามารถทนได้ เพราะบางระบบลมอัดมีความร้อนสะสมจากคอมเพรสเซอร์ หากวัสดุไม่เหมาะสมอาจทำให้เส้นใยละลายหรือเสียรูปได้
4. ระบบกรองหลายชั้น
ในระบบลมอัดที่ต้องการความมั่นใจสูง นิยมใช้ระบบกรองหลายชั้นเพื่อลดภาระของแต่ละขั้นตอนและเพิ่มความสะอาดของลมอัด ตัวอย่างเช่น
ขั้นตอนที่ 1: ตัวกรองฝุ่นหยาบ (Pre-filter) ทำหน้าที่หลัก คือ ดักจับฝุ่นผง เศษวัสดุ หรืออนุภาคขนาดใหญ่ ก่อนที่อากาศจะเข้าสู่ระบบลมอัดต่อไป
ขั้นตอนที่ 2: ตัวกรองละอองน้ำ (Coalescing Filter) ในขั้นตอนนี้ แม้ชื่อจะบ่งถึงการแยกน้ำและน้ำมัน แต่ฟิลเตอร์ประเภทนี้ยังมีสื่อกรองเส้นใยละเอียดที่สามารถดักจับฝุ่นละอองขนาดเล็ก (Fine Dust) ได้พร้อมกันด้วย
ขั้นตอนที่ 3: ตัวกรองละเอียด (Fine Filter) เป็น Dust Filter สำหรับกำจัดฝุ่นขนาดเล็กระดับไมครอน ช่วยให้ลมอัดสะอาดระดับอุตสาหกรรม
ขั้นตอนที่ 4: ตัวกรองคาร์บอน (Activated Carbon Filter) แม้ชั้นนี้จะออกแบบมาเพื่อดูดซับกลิ่นและไอสารเคมี แต่พื้นผิวของคาร์บอนมีรูพรุนละเอียดระดับไมโคร ซึ่งสามารถดักจับฝุ่นขนาดเล็กสุดท้ายที่หลงเหลือได้ จึงเป็นชั้นกรองฝุ่นเสริมที่ช่วยให้ลมอัดสะอาดสมบูรณ์ยิ่งขึ้น
ตัวกรองฝุ่น Siam seimitsu เพื่อทำหน้าที่สำคัญในการเป็นเกราะป้องกันอุตสาหกรรม
บทบาทของตัวกรองฝุ่นมีความสำคัญอย่างมากต่ออุตสาหกรรม ไม่ว่าจะด้านคุณภาพของอากาศและความเสถียรของกระบวนการผลิต ซึ่งตัวกรองฝุ่นที่ทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพจะช่วยให้ลมอัดสะอาด ลดความเสี่ยงของการอุดตันในท่อทางเดินลม ป้องกันความเสียหายต่อคอมเพรสเซอร์ และลดภาระของระบบกรองชั้นถัดไป ซึ่งส่งผลโดยตรงต่อการยืดอายุการใช้งานของเครื่องจักรและการลดต้นทุนพลังงานในระยะยาว
การเลือกตัวกรองฝุ่นที่เหมาะสมจึงไม่เพียงเป็นเรื่องของการกรองอากาศให้สะอาดเท่านั้น แต่ยังเป็นส่วนหนึ่งของการบริหารจัดการระบบลมอัดอย่างยั่งยืน ตั้งแต่การวิเคราะห์ความต้องการของระบบ การคำนวณอัตราการไหลของอากาศ ไปจนถึงการเลือกวัสดุกรองให้เหมาะกับสภาพแวดล้อมการทำงานจริง เพื่อให้มั่นใจว่าลมอัดที่ส่งต่อไปยังเครื่องจักรและสายการผลิตมีความสะอาดได้ตามมาตรฐานอุตสาหกรรม
หากมองในภาพรวมแล้ว ตัวกรองฝุ่น คือ ส่วนเล็กที่มีผลใหญ่ เป็นหัวใจสำคัญของระบบลมอัดที่เชื่อมโยงกับคุณภาพการผลิต ความปลอดภัยของเครื่องจักร และประสิทธิภาพทางพลังงานของโรงงานในระยะยาว ทำให้ตัวกรองฝุ่น (Air Filter) Siam seimitsu เป็นเครื่องมือที่ตอบโจทย์ทั้งผู้ประกอบการและโรงงาน ในการส่งเสริมประสิทธิภาพด้านความสะอาดและความเสถียร โดยมีรุ่นและรูปแบบที่หลากหลาย เพื่อให้คุณเลือกพิจารณาตามประเภทการใช้งาน
ให้ตัวกรองฝุ่นจาก Siam seimitsu เป็นเกราะป้องกันสำคัญ เพื่อรักษาประสิทธิภาพความสะอาดของสายการผลิต
บริษัท สยาม เซมิตซึ จำกัด ตัวแทนจำหน่าย นำเข้า และให้บริการสินค้าแบรนด์ “ORION” ในประเทศไทยอย่างเป็นทางการ เว็บไซต์ : https://www.siamseimitsu.co.th/air-filter/
ติดต่อเรา

SIAM SEIMITSU CO., LTD. is a subsidiary company from SIRIWAT CORPORATION 1976 CO., LTD. which specializes in ORION products. Siam Seimitsu is a sole distributor in Thailand.